วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พุทธในไทยจะรุ่งหรือจะสูญ



ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อ 31 ธันวาคม 2552 แสดงไว้ว่า
ประชาชนไทยมี 67,422,887 คน
จากการสำรวจการเข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรม ปี 2548
มีพุทธศาสนิกชน 46,902,100 คน
คิดเป็น 69.56%





>>หลายคนคงสงสัย เพราะเคยทราบว่าชาวพุทธไทยมีประมาณ 94% ทำไมสำนักงานสถิติแห่งชาติจึงบอกว่า เหลือเพียง 69%

>> ความจริงคือ ตัวเลข 94% นั้นเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน แต่เขาสำรวจจากการเข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรม คือ ถ้าคนนั้นๆ แม้ทะเบียนบ้านจะเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าหากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสวดมนต์ นั่งสมาธิ ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยทำบุญผ้าป่า กฐิน ไม่เคยเข้าวัด ฟังเทศน์ เขาไม่นับ

>> เมื่อได้ตรวจสอบอย่างนี้แล้วพบว่า เหลือคนที่ยังพอเคยเข้าร่วมกิจกรรมพุทธอยู่ 69% ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นชาวพุทธที่แข็งแรงนัก อาจเคยทำกิจกรรมพุทธบ้างตามประเพณี 1-2 ครั้ง

>> แท้ที่จริงชาวพุทธที่ตื่นตัว ตั้งใจรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิจริงๆ อาจเหลือเพียงราว5 % เท่านั้นก็เป็นได้

>> ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้ปัญหาสังคมมีมาก อาชญากรรมหลากหลาย ยาเสพติดเกลื่อนเมือง คนไทยดื่มเหล้ามากติดอันดับ 5 ของโลก

>> เมื่อชาวพุทธไทยโดยรวมเป็นอย่างนี้ และศาสนิกอื่นก็ทุ่มเททำงานเผยแผ่ศาสนาของตนอย่างเต็มกำลัง จึงน่าคิดว่า
__อนาคตพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? **
__เราจะเป็นเหมือนอินเดีย ที่พระพุทธศาสนาสาบสูญไปหรือไม่? **

ทางแก้ คือ

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก

ดังครั้งพุทธกาล เมื่อตรัสรู้ธรรม ทั้งโลกมีชาวพุทธเพียง 1 ท่าน คือ พระพุทธเจ้า
จากนั้นพระองค์ไปโปรดปัญจวัคคีย์ จึงเกิดพระสงฆ์ขึ้น ทำให้พระรัตนตรัยครบ 3 ทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ราว 5 เดือน หลังตรัสรู้ธรรม พระองค์ได้ประชุมพระอรหันต์สาวก 60 รูปแรกของโลก และประทานโอวาท ความตอนหนึ่งว่า

“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่มหาชน
เพื่อความเอ็นดูแก่โลกเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เธอจงไปคนเดียวหลายๆทาง อย่าไปทางเดียวหลายๆคน สัตว์โลกผู้มีธุลีในดวงตาน้อย
ผู้จักอาจรู้ทั่งถึงธรรมนั้นมีอยู่ เขาเหล่านั้นย่อมเสื่อมจากคุณที่พึงได้พึงเห็นเพราะเหตุที่ไม่ได้ฟังธรรม
แม้ตถาคตก็จะไปสู่อุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเหมือนกัน ”



ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติแก่มวลสาวกแต่นั้นมา
จากพุทธโอวาทนี้เราจะเห็นแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทรงให้เผยแผ่เชิงรุก
พระองค์ไม่ได้ให้นั่งรอคนที่วัด แต่ให้เที่ยวจาริกออกไปเผยแผ่ธรรมะสั่งสอนชาวโลก
และเนื่องจากพระสงฆ์ 60 รูปแรก เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด สามารถคุ้มครองตนเองได้
กิจในการปราบกิเลสของตนทำเสร็จแล้ว พระองค์จึงให้ไปคนเดียวหลายๆทาง เพื่อเผยแผ่ให้ได้กว้างขวางที่สุดนั่นเอง



>>การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมีทางทำได้แน่นอน
เพราะรากฐานทางพระพุทธศาสนาฝังลึกในไทยมากว่าสองพันปี
ชาวพุทธไทยมีความผูกพันกับพระพุทธศาสนา แม้ไม่ค่อยได้เข้าวัด
ไม่ค่อยได้รักษาศีล นั่งสมาธิ แต่ก็ยังศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา อยากให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคง
ผู้คนมีศีลธรรม สังคมสงบร่มเย็น

>> ชาวพุทธที่ตื่นตัวทุกกลุ่ม จึงต้องเร่งขวนขวายทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลัง อย่าอยู่เฉยๆ ต้องทำกิจกรรม อาทิ

- จัดบวชพระ บวชเณร
- จัดทำบุญตักบาตร
- จัดสวดมนต์
- จัดคอร์สนั่งสมาธิ
- จัดการแสดงธรรม
- จัดตอบปัญหาธรรมะ
- จัดงานสังคมสงเคราะห์หรือ จิตอาสาต่างๆ
- จัดสัมมนาทางวิชาการ
ฯลฯ





ใครถนัดอะไรก็ให้ทำสิ่งนั้น ขอให้เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ ก็ถือว่าดีทั้งนั้น
เพราะคนเรามีจริตไม่เหมือนกัน ใครชอบแบบไหนก็ไปร่วมกิจกรรมแบบนั้น
ถ้าทุกคนทุกวัด ทุกองค์กรขวนขวายช่วยกันทำกิจกรรมพุทธที่ตนมีความถนัด

>>ภาพรวมพระพุทธศาสนาจะเกิดความคึกคัก ปลุกกระแสชาวพุทธให้ตื่นตัวหันมาสนใจพระพุทธศาสนา
ภาพลักษณ์พระพุทธศาสนาจะดีขึ้น
แต่ถ้าชาวพุทธที่ตื่นตัว ซึ่งมีจำนวนไม่มากมายอะไร ยังมาทะเลาะกัน โจมตีกันเองอีก
ทำให้เกิดความแตกแยก ผู้คนก็จะเบื่อหน่าย พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมสูญไปในที่สุด

>> อินเดียเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากกว่าอังกฤษหลาย 10 เท่า
แต่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก็เพราะอังกฤษใช้วิธีการแบ่งแยกแล้วปกครอง
ยุให้แคว้นต่างๆ ของอินเดียทะเลาะรบกันเอง แล้วค่อยๆ รุกคืบยึดทีละแคว้นจนยึดอินเดียได้ทั้งประเทศ



>> ดังนั้นชาวพุทธไทยอย่าตกในหลุมพรางทะเลาะกันเอง ขอให้สามัคคีกัน
ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก ให้พระพุทธศาสนาสถิตสถาพรคู่ชาติไทยไปชั่วกาลนาน
นำสันติสุขความร่มเย็นมาสู่สังคมไทยเถิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น